แลกเปลี่ยนและเรียนรู้ ธุรกิจ ชีวิต จิตวิทยา และสุขภาพ ร่วมกันเพื่อพัฒนาตนเองและสังคม
วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2554
ทำงานให้ประสบความสำเร็จ โดย ดร.เอกฤทธิ์ เลี้ยงพาณิชย์
อ.สมคิด ลวางกูร พลิกชีวิตจากความหายนะ สู่ความสำเร็จ ตอนที่3
อ.สมคิด ลวางกูร พลิกชีวิตจากความหายนะ สู่ความสำเร็จ ตอนที่2
อ.สมคิด ลวางกูร พลิกชีวิตจากความหายนะ สู่ความสำเร็จ ตอนที่1
วันเสาร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2554
งานแถลงข่าวเปิดตัวหนังสือ "สุดยอดเดอะซีเคร็ต" (The Meta Secret)
เมื่อ 7 ความลับเหนือโลกถูกเปิดเผยทั้งหมด ทุกสิ่งย่อมเป็นไปได้!
ผู้เขียน Mel Gill (เมล กิลล์)
ผู้แปล ดนัย จันทร์เจ้าฉาย
สำนักพิมพ์ : ดีเอ็มจี, สนพ.
วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2554
เพลง เต้น :เป้ อารักษ์ -ชีวิตจริงที่ทำเอามนุษย์เงินเดือนเต้นไม่ออก
เรียนจบปริญญา ได้เงินเดือนที่เก้าพันห้า
แล้วเมื่อไหร่จะได้มาซึ่งสิ่งของดังหมาย
เข้างานตั้งแต่แปดโมง กว่าจะได้ออกก็หมดบ่าย
แต่พอห้าโมงเย็นทีไร เจ้านายก็เรียกไปใช้
ฉันหลงรักน้องฝึกงาน น้องคนงามกระชุ่มกระชวย
*แต่แล้วในคืนวันอังคาร ฉันรอเธออยู่ อยู่ตรงกลางเสียงเพลง
เธอเต้นรำรื่นรมย์ อาบแสงไฟส่องที่ดูแล้วครื้นเครง
แต่แม้จะเป็นเพียงพริบตาเดียว ฉันอยากให้เธอพาฉันหมุนเคว้ง
** ฉันอยากให้เธอมาเต้นกับฉัน มายืนข้างกัน เอากระดูกชนกัน
ให้ผิวหนังมันรวมกัน ก่อนจะแตกสลาย
ฉันอยากให้เธอมาเต้นกับฉัน ให้ลืมทุกข์หนักเมื่อตอนกลางวัน
และฉันเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมจะเริ่มวันใหม่
ฉันขยันหวังจะเจริญ แต่ดันเกิดมาใช้ลิ้นไม่เป็น
ไอ้คนที่ได้ขึ้นเงินเดือน คือคนที่เลียเก่งเท่านั้น
สุขภาพไม่ค่อยจะดี นั่งขดกายปวดหลังเพราะเก้าอี้
เพราะที่บริษัทไม่มีนโยบาย Ergonomic
ความสุขของฉัน ไม่ได้เกิดขึ้นตอนทำงาน
แต่มันเกิดขึ้นในยามวิกาล ที่คนอื่นเขานิทรา
(*,**)
ฉันอยากให้เธอมาเต้นกับฉัน มามองหน้ากัน เอาจมูกชนกัน
และเอาหน้าผากมาใกล้กัน จนสิวมันหลอมรวมละลาย
เอาเท้าย่ำลงจังหวะเดียวกัน และพาฉันก้าวผ่านคืนนี้ไป
พร้อมจะเริ่มวันใหม่
ซึ้ง! หนุ่มใจสู้โชว์กีตาร์มือเดียว"สมศักดิ์ เหมรัญ" ใน Thailand's Got Talent
ซึ้ง! หนุ่มใจสู้โชว์กีตาร์มือเดียว"สมศักดิ์ เหมรัญ"
เพราะทันทีที่เสียงเมโลดี้เพลง "ศรัทธา" ดังขึ้นจากการใช้มือเดียวดีดกีตาร์ พร้อมกับเสียงเพลงที่ร้องออกมาอย่างไพเราะ ก็สะกดอารมณ์ผู้ชมทั้งห้องส่ง จนต้องลุกขึ้นปรบมือให้ "สมศักดิ์ เหมรัญ" ด้วยเสียงกึกก้อง พร้อมกับส่งเสียงเชียร์หนุ่มนักสู้คนนี้อย่างเต็มที่
แต่ที่ทำเอากรรมการ และผู้ชมถึงกับน้ำตาไหลไปกับการแสดงของ สมศักดิ์ ก็เมื่อทราบว่า เมื่อ 10 ปีก่อน หนุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยสงขลา วัย 29 ปีคนนี้ ประสบอุบัติเหตุถูกรถชนขณะขี่รถจักรยานยนต์ ทำให้แขนซ้ายเป็นอัมพาต แต่นั่นไม่เท่ากับการสูญเสียแม่ผู้เป็นที่รักซึ่งนั่งซ้อนท้ายเขาไปกับอุบัติเหตุครั้งนั้นด้วย
สมศักดิ์ เล่าว่า เขาชอบเล่นดนตรี และชอบเล่นกีตาร์มาก แม้จะอ่านตัวโน้ตไม่ออก แต่ก็ฝึกเล่นดนตรีไปด้วยใจรัก แต่เมื่อประสบอุบัติเหตุจนต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยแขนเพียงข้างเดียว ทำให้เขารู้สึกท้อแท้ใจเป็นอย่างมากที่ไม่สามารถเล่นดนตรีได้ดังใจฝัน จนเมื่อผ่านเหตุการณ์อันเลวร้ายครั้งนั้นไปได้หนึ่งปี ประกอบกับได้กำลังใจอันเต็มเปี่ยมจากพี่ชาย ก็ทำให้ สมศักดิ์ เหมรัญ กล้าลุกขึ้นสู้อีกครั้ง ตั้งแต่นั้นมา เขาก็เพียรฝึกเล่นกีตาร์มือเดียวมาตลอดจนคล่องแคล่ว
และเมื่อสมศักดิ์ ทราบข่าวว่า รายการ Thailand's Got Talent เปิดรับสมัครประกวดผู้ที่มีความสามารถ สมศักดิ์ เหมรัญ จึงไม่รอช้า รีบยื่นใบสมัครทันที โดยหวังจะโชว์ความสามารถพิเศษที่เกิดจากความตั้งใจ และทุ่มเท เพื่อส่งผ่านความหวัง และกำลังใจต่อไปยังเพื่อนร่วมโลกคนอื่น ๆ ที่กำลังท้อแท้ในชีวิต ให้ดูชีวิตและความมุ่งมั่นของเขาเป็นตัวอย่าง
เห็นไหมว่า ความสามารถของคนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลกจริง ๆ กระปุกดอทคอม ขอปรบมือดัง ๆ ให้กับความพยายามของคุณ สมศักดิ์ เหมรัญ ด้วยคนครับ
เยี่ยมมาก!!! "สมศักดิ์ เหมรัญ"
วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554
การบรรยาย "คิดให้เป็นแกะดำ"
วันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2554
เพลง:ที่สูง - อ๊อฟ ปองศักดิ์
สั่งให้แพ้ตลอดมา ให้ดวงตาและใจเจอะทางตัน
หนึ่งคนที่ท้อ จนอยากที่จะพอและอยากจะถอย
ทิ้งชีวิตให้หลุดลอย จากข้างบนที่สูงเพื่อจบมัน
เคยเป็นฉันที่เคยคิดทำ ในวันที่ไหวเอน
แต่พอได้ยืนข้างบนที่สูงฉันก็ได้รู้
ว่าอยู่ยิ่งสูงยิ่งเห็น ยิ่งสูงยิ่งมองได้ไกล
และได้เห็นในมุมมองที่กว้างใหญ่
เปิดความคิดให้ใจจากสายตา
ว่าเราควรยืนมองดู อยู่เหนือหัวใจแห่งปัญหา
และจะเห็นทุกเรื่องราวไม่หนักหนา
หมื่นทางตันยังมีทางนึงให้ออกเสมอ
หนึ่งคนบนพื้น จะเจอะเจอวันคืนที่เจ็บเท่าไร
เปิดดวงตาและเปิดใจ จะไม่มีอะไรมาบั่นทอน
หนึ่งคนคนนี้ จะเจอะสิ่งไม่ดีอีกสักแค่ไหน
ใช้ชีวิตอย่างเข้าใจ ภาพข้างบนที่สูงได้สั่งสอน
จะเป็นคนไหนที่เคยคิดทำ ในวันที่ไหวเอน
แค่ลองได้ยืนข้างบนที่สูงแล้วก็จะรู้
ว่าอยู่ยิ่งสูงยิ่งเห็น ยิ่งสูงยิ่งมองได้ไกล
และได้เห็นในมุมมองที่กว้างใหญ่
เปิดความคิดให้ใจจากสายตา
ว่าเราควรยืนมองดู อยู่เหนือหัวใจแห่งปัญหา
และจะเห็นทุกเรื่องราวไม่หนักหนา
หมื่นทางตันยังมีทางนึงให้ออกเสมอ
จะเป็นคนไหนที่เคยคิดทำ ในวันที่ไหวเอน
แค่ลองได้ยืนข้างบนที่สูงแล้วก็จะรู้
ว่าอยู่ยิ่งสูงยิ่งเห็น ยิ่งสูงยิ่งมองได้ไกล
และได้เห็นในมุมมองที่กว้างใหญ่
เปิดความคิดให้ใจจากสายตา
ว่าเราควรยืนมองดู อยู่เหนือหัวใจแห่งปัญหา
และจะเห็นทุกเรื่องราวไม่หนักหนา
หมื่นทางตันยังมีทางนึงให้ออกเสมอ
หมื่นทางตันยังมีทางนึงให้ออกเสมอ
เมื่อโลกใบนี้ไม่ใช่สวรรค์ของเด็กเจเนอเรชั่น Y
โดยรายงานจากสื่อแดนอินทรีครั้งนี้ได้อ้างอิงจากหนังสือ Not Quite Adults ของ Richard Settersten and Barbara เกี่ยวกับเด็กเจเนอเรชั่น Y (หรือก็คือกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อายุไม่เกิน 30 ปี หรือเกิดในช่วง ค.ศ. 1980 - 2000) ที่ผู้ใหญ่หลายคนมองว่า กว่าจะก้าวสู่โลกของผู้ใหญ่นั้นกินเวลานานกว่าเจเนอเรชั่นอื่น ๆ แต่นั่นเป็นเพราะเด็กเจน Y ต้องเผชิญกับสภาพสังคม เศรษฐกิจ และการศึกษา ตลอดจนแนวทางการเลี้ยงดูจากพ่อแม่ที่เปลี่ยนไปนั่นเอง
โดยผู้รายงานได้ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยแรก นั่นคือ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้การหางานทำของเด็กเจน Y นั้น ต้องแข่งขันสูง เพื่อจะให้ได้มาซึ่งหน้าที่การงาน ไม่เพียงเท่านั้น รายงานยังระบุว่า หากนำเงินเดือนของเด็กในยุคก่อน ๆ ตอนที่เริ่มทำงานใหม่ ๆ มาเปรียบเทียบกับเด็กเจน Y ในยุคนี้ จะพบว่า เด็ก ๆ เจน Y ได้รับเงินเดือนเดือนแรกน้อยกว่าจนยากจะตั้งตัวได้ในเร็ววัน (ในประเทศไทยก็คงมองเห็นภาพนี้กันค่อนข้างชัด กับเงินเดือนของพนักงานจบใหม่ที่มักถูกกำหนดให้อยู่ระหว่าง 7,000 - 9,000 บาท แต่ค่าใช้จ่ายรอบตัวที่เด็ก ๆ กลุ่มนี้ต้องรับผิดชอบกลับพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งค่าที่พัก ค่าเดินทาง ค่าอาหาร)
อีกทั้งเด็กในยุคนี้ยังมีภาระหนี้ติดตัวมา เช่น การกู้ยืมเพื่อการศึกษา การจ่ายหนี้คืนนั้น ในหลายประเทศ เรียกเก็บในอัตราที่ค่อนข้างสูง เช่น ในสหรัฐอเมริกานั้น อาจต้องจ่ายคืนถึงเดือนละ 500 เหรียญเลยทีเดียว ทำให้โอกาสที่จะลืมตาอ้าปากของเด็กเจน Y ต้องยืดออกไปอีกระยะหนึ่ง หรือจนกว่าที่พวกเขาจะชำระหนี้ครบ จึงจะได้เริ่มสะสมเงินเพื่ออนาคตของตนเอง
เมื่อสภาพการทำงาน และการใช้ชีวิตเป็นเช่นนี้ ทำให้เด็ก ๆ เจเนอเรชั่น Y หลายคนเลือกอาศัยอยู่กับพ่อแม่ เพราะไม่มีเงินพอที่จะจ่ายค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้ไหว ซึ่งอาจเป็นเรื่องปกติสำหรับสังคมเอเชีย แต่การทำเช่นนั้นใน สังคมตะวันตกกลับเป็นเรื่องที่แปลก และแตกต่าง จึงเป็นเรื่องน่าเศร้าที่คนส่วนหนึ่งจะมองเด็กเจน Y ว่า ไม่แกร่งกล้ามากพอที่จะนับว่าเป็นผู้ใหญ่ในโลกแห่งการแข่งขันเช่นนี้
ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว โอกาสที่จะก้าวหน้าของเด็ก ๆ ในเจเนอเรชั่นนี้จึงค่อนข้างช้ากว่าเด็กในยุคก่อนหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากพวกเขาขาดการสนับสนุนจากพ่อแม่ด้วยแล้ว จะยิ่งทำให้เขาต้องควานหาความสำเร็จนานขึ้นเป็นเงาตามตัว
ส่วนปัญหาอื่น ๆ ที่คอยสะกัดการเติบโตของเด็กในยุคนี้ก็มีอีก เช่น การต้องเป็นพ่อแม่ตั้งแต่วัยรุ่น การเรียนไม่จบ ซึ่งเด็ก ๆ กลุ่มนี้ต้องการความช่วยเหลืออีกมากกว่าจะพร้อมที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว
อย่างไรก็ดี มุมน่ารักของเด็กเจน Y ก็มีไม่น้อย เช่น เด็กในเจเนอเรชั่นนี้มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับพ่อแม่มากกว่าเด็กรุ่นก่อน ๆ และเจ้าความใกล้ชิดนี้เองทำให้เด็กสะดวกใจที่จะกลับบ้านมาหา มาอยู่กับพ่อแม่มากกว่าเด็กในอดีต โดยจำนวนของเด็กจบใหม่ที่ยังอาศัยอยู่ร่วมกับพ่อแม่ในประเทศดังกล่าวเพิ่มขึ้นจาก 22 เปอร์เซ็นต์ในปี 1960 มาเป็น 28 เปอร์เซ็นต์ในปี 2007 แล้ว
สำหรับประเทศไทย หลายข้อเป็นสิ่งที่เด็กเจน Y ของเราก็ต้องเผชิญไม่ต่างกัน เช่น การกระจุกตัวของแหล่งงานที่มักอยู่ตามเมืองหลวง หรือเมืองใหญ่ ๆ เด็กจบใหม่จึงต้องเลือกจ่ายค่าเช่าหอแสนแพง ค่าอาหารแสนแพงเพื่อแลกกับเงินเดือนเริ่มต้นต่ำ ๆ เพื่อผลประโยชน์ของนายทุน และความหวังว่า สักวันหนึ่งชีวิตจะดีกว่านี้
หรือคุณว่าไม่ใช่