วิตามินFoodMatrix กับ วิตามินเชิงเดี่ยว อะไรดีกว่ากัน?
วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
นวัตกรรมอาหารแห่งชีวิต FoodMatrix:รายการ มยุรามอนิ่งเมาส์
นวัตกรรมอาหารแห่งชีวิต FoodMatrix:รายการ มยุรามอนิ่งเมาส์
ข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ 089-071-8889 อานนท์
วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
กลยุทธ์ระเบิดพลัง สู่ความเป็นเลิศ:คุณ อัลเบิร์ต
กลยุทธ์ระเบิดพลัง สู่ความเป็นเลิศ
คุณ อัลเบิร์ต อัครเดช อุดมปัญญาวิทย์
เทรนเนอร์ที่อายุน้อยที่สุดในประเทศ
หนังสือ “กลยุทธ์ระเบิดพลัง สร้างตัวเองให้เป็นเลิศ” เป็นหนังสือที่ถ่ายทอดเกร็ดชีวิตของลูกผู้ชายที่ชื่อ อัครเดช อุดมปัญญาวิทย์ หรือ อัลเบิร์ท พร้อมกลยุทธ์ที่เขานำมาใช้ระเบิดพลังในตัวเอง จนค้นพบศักยภาพที่ซ่อนอยู่ภายใน ต่อยอดพัฒนาตัวเองจาก ลูกเป็ดขี้เหร่ ในวัยเยาว์ ก้าวสู่ นักเทรนเนอร์ที่อายุน้อยที่สุดในประเทศไทย ด้วยวัยเพียง ๒๘ ปี หนำซ้ำจากพลังที่เขาถ่ายทอดออกมาในทุกครั้งที่บรรยาย สามารถปลุกพลังของผู้ที่ได้รับฟังอย่างเหลือเชื่อ และเติมพลังขับเคลื่อนชีวิตของผู้ที่ได้สัมผัสอย่างตื่นเต้น เสริมทักษะให้ทุกคนมีคุณสมบัติของคนที่พร้อมพิชิต ‘ความสำเร็จ’ ทำให้ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และมีกระแสเรียกร้องให้ถ่ายทอดพลังทั้งหมดเป็นตัวอักษร
ประวัติย่อ คุณอัครเดช อุดมปัญญาวิทย์ (อัลเบิร์ท)
หลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัย Irvine, California ประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยคะแนนเฉลี่ยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง คุณอัครเดช อุดมปัญญาวิทย์ หรือ คุณอัลเบิร์ท ได้รับการตอบรับให้เข้าทำงานที่บริษัท Accenture ซึ่งเป็นบริษัทชื่อดังติดอันดับ ๑ ใน ๕ ของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ให้คำปรึกษาทางด้านคอมพิวเตอร์ ด้วยเงินเดือนเด็กจบใหม่สูงถึง ๒๐๐,๐๐๐ บาทต่อเดือน แต่แล้วในที่สุดคุณอัลเบิร์ทก็ต้องตัดสินใจเดินทางกลับเมืองไทย เพราะครอบครัวอาศัยอยู่ที่เมืองไทย เขาจึงได้มีโอกาสเริ่มต้นเปิดธุรกิจของตัวเองที่นี่
ด้วยความที่คุณอัลเบิร์ทประสบความสำเร็จทั้งด้าน การเรียนและการเข้าทำงานที่แรก เขาจึงกระหายที่อยากจะลองกระโดดเข้าไปทำงานในธุรกิจด้านอื่น ด้วยการร่วมลงทุนกับเพื่อนเปิดธุรกิจ E-Commerce, นำเข้าเคมีภัณฑ์ และเป็นที่ปรึกษาทางด้าน IT แต่แล้วทุกธุรกิจของเขาก็ไม่ประสบความสำเร็จ คุณอัลเบิร์ทจึงเริ่มได้เรียนรู้ว่าเขาควรจะทำงานในสิ่งที่ตัวเขารักมากกว่าทำงานเพื่อเงิน แล้วเขาก็ได้ค้นพบว่าสิ่งที่เขารักคือการพูดหรือการเป็นผู้ฝึกสอน คุณอัลเบิร์ทจึงเริ่มต้นธุรกิจนี้ด้วยการเปิดบริษัท Touch Inspire ในการเป็นผู้ฝึกสอนเกี่ยวกับการเพิ่มผลผลิตให้กับองค์กรและก็ได้เข้าไปฝึกสอนให้กับบริษัทชื่อดังหลายที่เช่น AIS และธนาคารกสิกรไทย เป็นต้น
ด้วยความหวังที่อยากพัฒนาคอร์สสัมมนาสู่ตลาดโลก คุณอัลเบิร์ทจึงได้เข้าไปเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Maximum Potential Partners ร่วมกับคุณกลกิตติ์ เถลิงนวชาติ จนกลายเป็นบริษัทที่พัฒนาบุคคลที่เติบโตเร็วที่สุดในประเทศไทยขณะนี้ เป้าหมายของบริษัท Maximum Potential Partners คือการปลดปล่อยศักยภาพที่มีอยู่ในตัวบุคคลให้พวกเขามีชีวิตอยู่กับสิ่งที่เขารัก แรงบัลดาลใจ ความมั่งคงและความสำเร็จ
ในความที่เป็นคนที่มีพลังอันมหาศาล ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของคุณอัลเบิร์ททำให้ผู้ฟังได้สัมผัสและรับพลังที่มีอยู่ในตัวเขา และสามารถนำพลังนั้นไปใช้ในชีวิตจริง จนประสบผลสำเร็จ ซึ่งคุณอัลเบิร์ทได้ กลายเป็นวิทยากรให้กับคอร์สสัมมนาอีกหลายคอร์ส
ประวัติย่อ คุณอัครเดช อุดมปัญญาวิทย์ (อัลเบิร์ท)
หลังจากจบการศึกษาระดับปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัย Irvine, California ประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยคะแนนเฉลี่ยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง คุณอัครเดช อุดมปัญญาวิทย์ หรือ คุณอัลเบิร์ท ได้รับการตอบรับให้เข้าทำงานที่บริษัท Accenture ซึ่งเป็นบริษัทชื่อดังติดอันดับ ๑ ใน ๕ ของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ให้คำปรึกษาทางด้านคอมพิวเตอร์ ด้วยเงินเดือนเด็กจบใหม่สูงถึง ๒๐๐,๐๐๐ บาทต่อเดือน แต่แล้วในที่สุดคุณอัลเบิร์ทก็ต้องตัดสินใจเดินทางกลับเมืองไทย เพราะครอบครัวอาศัยอยู่ที่เมืองไทย เขาจึงได้มีโอกาสเริ่มต้นเปิดธุรกิจของตัวเองที่นี่
ด้วยความที่คุณอัลเบิร์ทประสบความสำเร็จทั้งด้าน การเรียนและการเข้าทำงานที่แรก เขาจึงกระหายที่อยากจะลองกระโดดเข้าไปทำงานในธุรกิจด้านอื่น ด้วยการร่วมลงทุนกับเพื่อนเปิดธุรกิจ E-Commerce, นำเข้าเคมีภัณฑ์ และเป็นที่ปรึกษาทางด้าน IT แต่แล้วทุกธุรกิจของเขาก็ไม่ประสบความสำเร็จ คุณอัลเบิร์ทจึงเริ่มได้เรียนรู้ว่าเขาควรจะทำงานในสิ่งที่ตัวเขารักมากกว่าทำงานเพื่อเงิน แล้วเขาก็ได้ค้นพบว่าสิ่งที่เขารักคือการพูดหรือการเป็นผู้ฝึกสอน คุณอัลเบิร์ทจึงเริ่มต้นธุรกิจนี้ด้วยการเปิดบริษัท Touch Inspire ในการเป็นผู้ฝึกสอนเกี่ยวกับการเพิ่มผลผลิตให้กับองค์กรและก็ได้เข้าไปฝึกสอนให้กับบริษัทชื่อดังหลายที่เช่น AIS และธนาคารกสิกรไทย เป็นต้น
ด้วยความหวังที่อยากพัฒนาคอร์สสัมมนาสู่ตลาดโลก คุณอัลเบิร์ทจึงได้เข้าไปเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Maximum Potential Partners ร่วมกับคุณกลกิตติ์ เถลิงนวชาติ จนกลายเป็นบริษัทที่พัฒนาบุคคลที่เติบโตเร็วที่สุดในประเทศไทยขณะนี้ เป้าหมายของบริษัท Maximum Potential Partners คือการปลดปล่อยศักยภาพที่มีอยู่ในตัวบุคคลให้พวกเขามีชีวิตอยู่กับสิ่งที่เขารัก แรงบัลดาลใจ ความมั่งคงและความสำเร็จ
ในความที่เป็นคนที่มีพลังอันมหาศาล ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของคุณอัลเบิร์ททำให้ผู้ฟังได้สัมผัสและรับพลังที่มีอยู่ในตัวเขา และสามารถนำพลังนั้นไปใช้ในชีวิตจริง จนประสบผลสำเร็จ ซึ่งคุณอัลเบิร์ทได้ กลายเป็นวิทยากรให้กับคอร์สสัมมนาอีกหลายคอร์ส
ธุรกิจ อารากอนเวิลด์54
ช่องทางสู่อิสระภาพทางการเงินและเวลา
ที่ทันสมัยที่สุด!!! ในเวลานี้...
วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
วีว่าเคล็ดลับหน้าใสสุขภาพดีอย่าง โดม ปกรณ์ ลัม
วีว่าเคล็ดลับหน้าใสสุขภาพดีอย่าง โดม ปกรณ์ ลัม
เคล็ดลับหน้าใสสุขภาพดีอย่าง โดม ปกรณ์ ลัม
นวัตกรรมอาหารแห่งชีวิตFoodMatrix กับ dr.Alan Tomlinson นักวิทยาศาสตร์ระดับโลก
รายการ ผู้หญิงดอทคอม
นวัตกรรมอาหารแห่งชีวิตFoodMatrix
กับ dr.Alan Tomlinson นักวิทยาศาสตร์ระดับโลก
ข้อมูลเพิ่มเติม
มยุรามอนิ่งเมาส์:น้ำองุ่นแดงวีว่าต้านอนุมูลอิสระ ดูแลสุขภาพ
ข้อมูลเพิ่มเติม
โรงเรียนสอนธุรกิจอารากอน:วิธีคิดกับความสำเร็จ
โรงเรียนสอนธุรกิจอารากอน:วิธีคิดกับความสำเร็จ
วิธีคิดส่งผลต่อความรู้สึก
ความรู้สึกส่งผลต่อการกระทำ
การกระทำส่งผลต่อความสำเร็จ
ธุรกิจ อารากอนเวิลด์54
ช่องทางสู่อิสระภาพทางการเงินและเวลา
ที่ทันสมัยที่สุด!!! ในเวลานี้...
สาเหตุที่ผู้หญิงอเมริกันตายด้วยโรคหัวใจมากกว่าผู้ชาย
สาเหตุที่ผู้หญิงอเมริกันตายด้วยโรคหัวใจมากกว่าผู้ชาย
ภาวะแคลเซี่่ยมอุดตันในหลอดเลือด จากการกินแคลเซียม
เพื่อดูแลเรื่องกระดูกพรุน อาจส่งผลร้ายกว่าที่คิด
CALCITONEแคลเซี่ยม FoodMatrix
ดูดซึมได้มากกว่า90% คงสภาพในร่างกายได้นานกว่า
มีโปรตีนนำพานำไปใช้ได้ตรงจุด
สอบถามข้อมูลFoodMatrixเพิ่มเติมได้ที่
089-071-8889 คุณ อานนท์
นิทานเซน : ตรรกะในการใช้ชีวิต
นิทานเซน : ตรรกะในการใช้ชีวิต
เมื่ออาจารย์เซนเดินผ่านมาพบคนผู้นี้เข้า จึงเกิดความประหลาดใจจนต้องเอ่ยถามว่า "พ่อหนุ่ม อากาศดีๆ ในฤดูกาลที่นานๆ จะเวียนมาถึงเช่นนี้ เหตุใดเอาแต่มานั่งเปล่าประโยชน์ ใยไม่ไปลงมือทำสิ่งที่ต่างๆ ควรทำ เจ้าไม่เสียดายช่วงเวลาดีๆ เช่นนี้หรอกหรือ?"
ชายหนุ่มถอนใจครั้งหนึ่ง พลางตอบว่า "บนโลกใบนี้ นอกจากร่างกายแล้ว ไม่มีสิ่งใดเป็นของข้าสักอย่าง เช่นนั้นใยต้องสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจไปกระทำสิ่งต่างๆ ด้วยเล่า?"
"เจ้าไม่มีบ้านหรือ?" อาจารย์เซนถาม
"ไม่มี หากมีบ้านก็ต้องเป็นภาระคอยดูแล เช่นนั้นไม่ต้องมีเสียเลยดีกว่า" ชายหนุ่มตอบ
"เจ้าไม่มีคนที่เจ้ารักหรือ?" อาจารย์เซนถามต่อ
"ไม่มี หากมีคนรัก เมื่อหมดรักก็กลายเป็นความเกลียดชัง สู้ไม่มีเสียเลยดีกว่า" ชายหนุ่มว่า
"แล้วมิตรสหายเล่า มีหรือไม่?" อาจารย์เซนไม่ละความพยายาม
"ไม่มี เมื่อมีเพื่อน สักวันก็ต้องสูญเสียเพื่อน แล้วจะมีไปทำไม" ชายหนุ่มท้วง
"เจ้าไม่คิดจะทำงานหาเงินบ้างหรือ?" อาจารย์เซนยังคงถามต่อไป
"ไม่คิด ได้เงินมาสุดท้ายก็ต้องจับจ่ายออกไป เช่นนั้นใยต้องไปสิ้นเปลืองพลังงานหามาตั้งแต่ต้น" ชายหนุ่มกล่าวแย้ง
"อ้อ" สุดท้ายอาจารย์เซนพยักหน้ารับรู้ แต่ยังคงกล่าวว่า "ท่าทางข้าต้องรีบไปหาเชือกมามอบให้เจ้าสักเส้นหนึ่งแล้ว"
"เหตุใดต้องมอบเชือกให้ข้า?" ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัยใจ
"ให้เจ้าผูกคอตาย" อาจารย์เซนตอบ
ชายหนุ่มได้ยินก็ถามกลับไปด้วยความโมโหว่า "ท่านอยากให้ข้าตายหรือไง?"
อาจารย์เซนจึงตอบว่า "ถูกแล้ว เพราะคนเราทุกคนล้วนต้องตาย หากคิดตามตรรกกะของเจ้า ในเมื่อสุดท้ายต้องตายแล้วคนเราจะเกิดมาทำไม และหากเป็นเช่นนั้นก็แปลว่าการมีชีวิตมีตัวตนของเจ้าในวันนี้นับเป็นสิ่งที่เปล่าประโยชน์ด้วยเช่นกัน ก็ในเมื่อเปล่าประโยชน์แล้ว ใยไม่รีบผูกคอตายไปเสียเลยเล่า?"
ธุรกิจ อารากอนเวิลด์54
ช่องทางสู่อิสระภาพทางการเงินและเวลา
ที่ทันสมัยที่สุด!!! ในเวลานี้...
วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
หยุด...อย่ารีบกินมาร์ชมาลโลว์! แล้วคุณจะประสบความสำเร็จทั้ง งาน เงิน และชีวิต
Don't Eat The Marshmallow...YET! The Secret to Sweet Success in Work And Life
หยุด...อย่ารีบกินมาร์ชมาลโลว์!
แล้วคุณจะประสบความสำเร็จทั้ง งาน เงิน และชีวิต
"ทำไมคนที่ฉลาดเท่ากัน บางคนจึงประสบความสำเร็จ แต่บางคนล้มเหลว คำตอบคือ... เพราะ "วิธีคิดในการใช้ชีวิต" ที่แตกต่างกัน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้แต่ละคนมีบั้นปลายชีวิตที่แตกต่างกัน
ก่อนอื่นผมต้องขอสวัสดีเพื่อน ๆ ทุกคนนะครับ วันนี้ผมมีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มนึงครับ หัวข้อ ก็บทความด้่านบนเลย ก็ไม่มีอะไรมากครับ เมื่อเช้าผมไปโรงพยาบาล นัดคุณหมอเอาไว้ ตรวจสุขภาพน่ะครับ ก็เดินทางไปถึงประมาณ 9โมงกว่า ๆ ก็หยิบหนังสือเล่มนี้มาด้วย ซื้อมาตั้งนานแต่ไม่มีโอกาสอ่านสักที (ฮ่าๆ) ก็พอไปถึงผมก็รับบิตรคิวเรียบร้อย หมอบอกรอตรวจตอนบ่าย จะกลับบ้านก็กลับไม่ได้ เพราะมันไกลมากครับ ว่าแล้วก็หยิบหนังสือ นี้ขึ้นมา อ่าน ใช้ระยะเวลา 4 ชั่วโมง อ่านจบเล่มครับ วันนี้ผมจะมาแชร์เรื่องที่ผมได้อ่านให้เพื่อนๆ ฟัง เมื่อผมอ่านแล้วผมคิดทันทีว่า การใช้ชีวิตของเราอย่างมีเป้าหมายนั้นสำคัญมากครับและผมก็เชื่อศักยภาพของแต่ละคน แต่จะอยู่ที่ใครนำศักยภาพที่อยู่ภายในตัวเองออกมาใช้ได้มากกว่า! เอาล่ะครับ หนังสือที่ผมอ่านนี้เขาได้อ้างอิงถึง ทฤษฎี "มาร์ชมาลโลว์" (มันคือขนมของเด็กน่ะครับที่เขาวิจัยแล้วว่าเด็ก ๆ ชอบมาก) ผมจะสรุปข้อคิดที่ผมได้ความรู้จากหนังสือเล่มนี้และแบ่งปันความรู้ให้กับเพื่อน ๆ นะครับ
มีการวิจัยของ Dr. ท่านนึงที่ต้องการพิสูจน์ทฤษฎีที่ตัวเองได้สงสัยมายาวนานและทฤษฎีนี้ถูกใช้กับเด็กอายุ 4 ขวบจำนวน 600 คน ซึ่ง Dr. ท่านนี้ได้เอาเด็กมาเข้าโครงการวิจัยและให้เด็กแต่ละคนอยู่ในห้องแต่ละห้องตามลำพังโดยมีโต๊ะกับเก้าอี้และไม่มีอะไรเลย หลังจากที่เด็กนั่งอยู่ในห้องตามลำพังก็จะมี หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเด็กแล้วเอาขนม มาร์ชมาลโลว์ ใส่จานวางให้เด็กคนๆ นั้น และบอกเด็กว่าถ้าหนูรอได้อีก 15 นาที หนูจะได้รับขนม มาร์ชมาลโลว์ เพิ่มอีก 1 ก้อนทันที ผู้หญิงคนนั้นก็เดินออกจากห้องและหายไป 15 นาที เพื่อสั่งเกตุในตู้กระจกว่า เด็กคนไหนที่ได้รับขนมมาร์ชมาลโลว์แล้วรอได้อีก 15 นาทีจะได้รับขนมเพิ่มอีก 1 ก้อน ผลจากการวิจัยครั้งนี้พบว่า 98% ของเด็กที่อยู่ในห้องตามลำพังและมีขนมมาร์ชมาลโลว์ อยู่ในนั้น ซึ่งเด็กส่วนใหญ่ไม่สามารถยับยั้งใจตัวเองไม่ให้กินขนมมาร์ชมาลโลว์ ได้ (พูดง่าย ๆ ว่าทนไม่ไหวแล้วขอกินเลย) แต่มีอีก 2% ที่ยับยั้งใจตัวเองไม่ให้กินขนมมาร์ชมาลโลว์ เพื่อต้องการรับขนมเพิ่มจากสาวสวยคนนั้น การวิจัยไม่ได้จบเพียงเท่านี้ Dr. ใช้ระยะสังเกตุการณ์นานถึง 30 ปี และพบกว่า เด็กที่ได้เข้าร่วมการวิจัยและเป็นเด็กที่สามารถยับยั้งห้ามใจตัวเองไม่ใ้ห้กินขนมมาร์ชมาลโลว์ (หรือพูดอีกแบบคือ อดเปรี้ยวไว้กินหวาน) พบว่า เด็กเหล่านั้นประสบความสำเร็จในชีวิต ทั้งในเรื่อง งาน เงิน แและชีวิตที่อิสระของเขา
จากที่ผมได้ข้อคิดจากหนังสือเล่มนี้ ผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้ดีกว่าหนังสือ How To หลายๆเล่มที่มีราคาเป็นร้อยบาทแต่ไม่มีเนื้อหาที่โดดเด่นเลย
ผมขอสรุปเนื้อหาทั้งหมดนะครับ
การที่เราจะประสบความสำเร็จในชีวิต เราต้องสามารถยับยั้งใจตัวเองให้ได้หรือต้องชนะใจตัวเองให้ได้ว่างั้นเถอะครับ มันไม่จบเพียงเท่านี้ครับ มันคือตัวชี้วัดว่าคุณจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้หรือไม่ เพราะการชนะใจตัวเอง ถือเป็นเรื่องที่ยากสำหรับเพื่อนๆ หลายๆ คน รวมถึงแม้ตัวผมเอง เมื่อผมได้อ่านหนังสือเล่มนี้จบภายใน 4 ชั่วโมง ผมรู้ทันทีว่า คนที่เขาประสบความสำเร็จในเรื่องงานและเงินที่ทำให้เขาร่ำรวย เขามีสิ่งนี้ครับ "การห้ามใจตัวเองให้ชะลอความพอใจลงก่อน และคิดถึงผลตอบแทนระยะยาว จะทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จ....และแตกต่างกว่าคนอื่น"
แล้วมันเกี่ยวกับธุรกิจเครือข่ายอย่างไรล่ะ!
ง่ายมากเลยครับเพียงแค่เราเอาแนวคิด ทฤษฎีของ "มาร์ชมาลโลว์" มาใช้กับธุรกิจของเราก็จะทำให้เราสามารถประสบความสำเร็จ...และแตกต่างจากคนอื่น แล้วมันเป็นยังไงล่ะ? (งงนะเนี้ย)
มขอยกตัวอย่างง่าย ๆ ครับ หากวันนี้คุณทำธุรกิจอะไรก็ตามถ้าคุณไม่สามารถชะลอความต้องการของคุณได้คุณจะไม่มีวันประสบความสำเร็จเลยครับ
ตัวอย่าง :
A : อะไรวะเนี้ย ทำธุรกิจนี้ มาก็ 2-3 เดือนแล้วนะ ทำไมยังไม่มีคนสมัครกับเรา (คุณกำลังรีบกินมาร์ชมาลโลว์)
B : นี่ก็ 3 เดือนแล้ว ทีมงานยังไม่เกิด ไม่เป็นไรเราตั้งเป้าหมายไว้ 1 ปี เราต้องได้เงินแสนให้ได้ เราต้องเรียนรู้เพิ่มเติม ทำให้หนักกว่าเดิม เพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่า (คุณกำลังจะได้ขนมมาร์ชมาลโลว์ ที่ก้อนใหญ่ที่สุด นั้นคือความสำเร็จที่คุณตั้งไว้)
เห็นไหมครับเพื่อน ๆ แค่นิดเดียวเอง คือ "การยับยั้งใจตัวเองเพื่อชะลอในสิ่งที่ตัวเองต้องการได้" บางคนบ่นว่า ไม่มีทีมงานเลย เลิกดีกว่า! ไม่ใช่แค่เพื่อน ๆ ครับ ผมก็เคยเป็นเหมือนกัน แต่วันนี้ผมเปลี่ยนวิธีคิด เอาทฤษฎีของ มาร์ชมาลโลว์ มาใช้ ผมมั่นใจว่าหลังจากนี้ 3 เดือนชีวิตของผมเปลี่ยนแปลงแน่นอน ครับ
ถ้าเพื่อนๆ คนไหน อยากประสบความสำเร็จ ผมแนะนำลองไปหาซื้อครับ ที่ 7-11 เล่มล่ะ 59 บาท มีประโยชน์มากกว่า เหล้าแบรนด์เนมบางยี่ห้อ เงิน 59 บาทจะทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยน คุณคิดว่าคุ้มไหมครับ! อย่าปล่อยให้ตัวคุณกินขนมมาร์ชมาลโลว์ ไปวันๆ แล้ววันต่อไปคุณไม่มีอะไรจะกิน นะครับ
แล้วคุณจะประสบความสำเร็จทั้ง งาน เงิน และชีวิต
"ทำไมคนที่ฉลาดเท่ากัน บางคนจึงประสบความสำเร็จ แต่บางคนล้มเหลว คำตอบคือ... เพราะ "วิธีคิดในการใช้ชีวิต" ที่แตกต่างกัน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้แต่ละคนมีบั้นปลายชีวิตที่แตกต่างกัน
ก่อนอื่นผมต้องขอสวัสดีเพื่อน ๆ ทุกคนนะครับ วันนี้ผมมีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มนึงครับ หัวข้อ ก็บทความด้่านบนเลย ก็ไม่มีอะไรมากครับ เมื่อเช้าผมไปโรงพยาบาล นัดคุณหมอเอาไว้ ตรวจสุขภาพน่ะครับ ก็เดินทางไปถึงประมาณ 9โมงกว่า ๆ ก็หยิบหนังสือเล่มนี้มาด้วย ซื้อมาตั้งนานแต่ไม่มีโอกาสอ่านสักที (ฮ่าๆ) ก็พอไปถึงผมก็รับบิตรคิวเรียบร้อย หมอบอกรอตรวจตอนบ่าย จะกลับบ้านก็กลับไม่ได้ เพราะมันไกลมากครับ ว่าแล้วก็หยิบหนังสือ นี้ขึ้นมา อ่าน ใช้ระยะเวลา 4 ชั่วโมง อ่านจบเล่มครับ วันนี้ผมจะมาแชร์เรื่องที่ผมได้อ่านให้เพื่อนๆ ฟัง เมื่อผมอ่านแล้วผมคิดทันทีว่า การใช้ชีวิตของเราอย่างมีเป้าหมายนั้นสำคัญมากครับและผมก็เชื่อศักยภาพของแต่ละคน แต่จะอยู่ที่ใครนำศักยภาพที่อยู่ภายในตัวเองออกมาใช้ได้มากกว่า! เอาล่ะครับ หนังสือที่ผมอ่านนี้เขาได้อ้างอิงถึง ทฤษฎี "มาร์ชมาลโลว์" (มันคือขนมของเด็กน่ะครับที่เขาวิจัยแล้วว่าเด็ก ๆ ชอบมาก) ผมจะสรุปข้อคิดที่ผมได้ความรู้จากหนังสือเล่มนี้และแบ่งปันความรู้ให้กับเพื่อน ๆ นะครับ
มีการวิจัยของ Dr. ท่านนึงที่ต้องการพิสูจน์ทฤษฎีที่ตัวเองได้สงสัยมายาวนานและทฤษฎีนี้ถูกใช้กับเด็กอายุ 4 ขวบจำนวน 600 คน ซึ่ง Dr. ท่านนี้ได้เอาเด็กมาเข้าโครงการวิจัยและให้เด็กแต่ละคนอยู่ในห้องแต่ละห้องตามลำพังโดยมีโต๊ะกับเก้าอี้และไม่มีอะไรเลย หลังจากที่เด็กนั่งอยู่ในห้องตามลำพังก็จะมี หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเด็กแล้วเอาขนม มาร์ชมาลโลว์ ใส่จานวางให้เด็กคนๆ นั้น และบอกเด็กว่าถ้าหนูรอได้อีก 15 นาที หนูจะได้รับขนม มาร์ชมาลโลว์ เพิ่มอีก 1 ก้อนทันที ผู้หญิงคนนั้นก็เดินออกจากห้องและหายไป 15 นาที เพื่อสั่งเกตุในตู้กระจกว่า เด็กคนไหนที่ได้รับขนมมาร์ชมาลโลว์แล้วรอได้อีก 15 นาทีจะได้รับขนมเพิ่มอีก 1 ก้อน ผลจากการวิจัยครั้งนี้พบว่า 98% ของเด็กที่อยู่ในห้องตามลำพังและมีขนมมาร์ชมาลโลว์ อยู่ในนั้น ซึ่งเด็กส่วนใหญ่ไม่สามารถยับยั้งใจตัวเองไม่ให้กินขนมมาร์ชมาลโลว์ ได้ (พูดง่าย ๆ ว่าทนไม่ไหวแล้วขอกินเลย) แต่มีอีก 2% ที่ยับยั้งใจตัวเองไม่ให้กินขนมมาร์ชมาลโลว์ เพื่อต้องการรับขนมเพิ่มจากสาวสวยคนนั้น การวิจัยไม่ได้จบเพียงเท่านี้ Dr. ใช้ระยะสังเกตุการณ์นานถึง 30 ปี และพบกว่า เด็กที่ได้เข้าร่วมการวิจัยและเป็นเด็กที่สามารถยับยั้งห้ามใจตัวเองไม่ใ้ห้กินขนมมาร์ชมาลโลว์ (หรือพูดอีกแบบคือ อดเปรี้ยวไว้กินหวาน) พบว่า เด็กเหล่านั้นประสบความสำเร็จในชีวิต ทั้งในเรื่อง งาน เงิน แและชีวิตที่อิสระของเขา
จากที่ผมได้ข้อคิดจากหนังสือเล่มนี้ ผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้ดีกว่าหนังสือ How To หลายๆเล่มที่มีราคาเป็นร้อยบาทแต่ไม่มีเนื้อหาที่โดดเด่นเลย
ผมขอสรุปเนื้อหาทั้งหมดนะครับ
การที่เราจะประสบความสำเร็จในชีวิต เราต้องสามารถยับยั้งใจตัวเองให้ได้หรือต้องชนะใจตัวเองให้ได้ว่างั้นเถอะครับ มันไม่จบเพียงเท่านี้ครับ มันคือตัวชี้วัดว่าคุณจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้หรือไม่ เพราะการชนะใจตัวเอง ถือเป็นเรื่องที่ยากสำหรับเพื่อนๆ หลายๆ คน รวมถึงแม้ตัวผมเอง เมื่อผมได้อ่านหนังสือเล่มนี้จบภายใน 4 ชั่วโมง ผมรู้ทันทีว่า คนที่เขาประสบความสำเร็จในเรื่องงานและเงินที่ทำให้เขาร่ำรวย เขามีสิ่งนี้ครับ "การห้ามใจตัวเองให้ชะลอความพอใจลงก่อน และคิดถึงผลตอบแทนระยะยาว จะทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จ....และแตกต่างกว่าคนอื่น"
แล้วมันเกี่ยวกับธุรกิจเครือข่ายอย่างไรล่ะ!
ง่ายมากเลยครับเพียงแค่เราเอาแนวคิด ทฤษฎีของ "มาร์ชมาลโลว์" มาใช้กับธุรกิจของเราก็จะทำให้เราสามารถประสบความสำเร็จ...และแตกต่างจากคนอื่น แล้วมันเป็นยังไงล่ะ? (งงนะเนี้ย)
มขอยกตัวอย่างง่าย ๆ ครับ หากวันนี้คุณทำธุรกิจอะไรก็ตามถ้าคุณไม่สามารถชะลอความต้องการของคุณได้คุณจะไม่มีวันประสบความสำเร็จเลยครับ
ตัวอย่าง :
A : อะไรวะเนี้ย ทำธุรกิจนี้ มาก็ 2-3 เดือนแล้วนะ ทำไมยังไม่มีคนสมัครกับเรา (คุณกำลังรีบกินมาร์ชมาลโลว์)
B : นี่ก็ 3 เดือนแล้ว ทีมงานยังไม่เกิด ไม่เป็นไรเราตั้งเป้าหมายไว้ 1 ปี เราต้องได้เงินแสนให้ได้ เราต้องเรียนรู้เพิ่มเติม ทำให้หนักกว่าเดิม เพื่อผลลัพธ์ที่ดีกว่า (คุณกำลังจะได้ขนมมาร์ชมาลโลว์ ที่ก้อนใหญ่ที่สุด นั้นคือความสำเร็จที่คุณตั้งไว้)
เห็นไหมครับเพื่อน ๆ แค่นิดเดียวเอง คือ "การยับยั้งใจตัวเองเพื่อชะลอในสิ่งที่ตัวเองต้องการได้" บางคนบ่นว่า ไม่มีทีมงานเลย เลิกดีกว่า! ไม่ใช่แค่เพื่อน ๆ ครับ ผมก็เคยเป็นเหมือนกัน แต่วันนี้ผมเปลี่ยนวิธีคิด เอาทฤษฎีของ มาร์ชมาลโลว์ มาใช้ ผมมั่นใจว่าหลังจากนี้ 3 เดือนชีวิตของผมเปลี่ยนแปลงแน่นอน ครับ
ถ้าเพื่อนๆ คนไหน อยากประสบความสำเร็จ ผมแนะนำลองไปหาซื้อครับ ที่ 7-11 เล่มล่ะ 59 บาท มีประโยชน์มากกว่า เหล้าแบรนด์เนมบางยี่ห้อ เงิน 59 บาทจะทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยน คุณคิดว่าคุ้มไหมครับ! อย่าปล่อยให้ตัวคุณกินขนมมาร์ชมาลโลว์ ไปวันๆ แล้ววันต่อไปคุณไม่มีอะไรจะกิน นะครับ
อ้างอิงจาก หนังสือทฤษฎี มาร์ชมาลโลว์
โดย ดร.โจเอคิม เดอ โพซาด้า และเอลเล็น ซิงเกอร์
ธุรกิจ อารากอนเวิลด์54
ช่องทางสู่อิสระภาพทางการเงินและเวลา
ที่ทันสมัยที่สุด!!! ในเวลานี้...
วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
The Best Of You ฐิตินาถ ณ พัทลุง
บทความปลุกจิตใต้สำนึก
โดย คุณ อ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง
ฟังทุกวัน โดยเฉพาะเวลาเหนื่อและท้อแท้
ได้พลังและแรงบันดาลใจในการต่อสู้ชีวิตเป็นอย่างมาก
ธุรกิจ อารากอนเวิลด์54
ช่องทางสู่อิสระภาพทางการเงินและเวลา
ที่ทันสมัยที่สุด!!! ในเวลานี้...
ลุงสมพร คนสอนลิง ให้ความรักก่อนให้ความรู้
ลุงสมพร คนสอนลิง ให้ความรักก่อนให้ความรู้
ธุรกิจ อารากอนเวิลด์54
ช่องทางสู่อิสระภาพทางการเงินและเวลา
ที่ทันสมัยที่สุด!!! ในเวลานี้...
วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
คนค้นฅน แพทย์วิถีพุทธ หมอเขียว ศูนย์บาททุกโรค
การที่ชายคนหนึ่งเปลี่ยนชื่อตนเองจาก "สำเริง มีทรัพย์" เป็น "ใจเพชร กล้าจน" ในทางหนึ่งเป็นความพยายามบอกกับทุกคนถึงสิ่งที่เขายึดเหนี่ยว
จุดหมายชีวิตแท้จริงที่ชายผู้นี้ยึดถือ คือ ความพยายามช่วยเหลือให้เพื่อนมนุษย์ได้หายจากโรคภัย โดยไม่ต้องเสียเงินสักบาท... ด้วยการรักษาแบบ "แพทย์วิถีพุทธ"
"หมอเขียว" หรือ ใจเพชร กล้าจน จบการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ เขาพยายามรักษาผู้ป่วยตามวิชาแพทย์ที่ได้ร่ำเรียนมาอย่างเต็มที่ แต่พอทำไปได้ชั่วระยะ คนเป็นหมอก็ต้องผจญกับคำถามในใจที่ไหนคำตอบกับตัวเองไม่ได้เสียที
"ทำไมทุกคนยังป่วย ทั้งที่เครื่องมือแพทย์ทันสมัยขึ้น ทำไมรักษาไปแล้วแพงขึ้นทุกวัน ที่สำคัญเจ้าหน้าที่สาธารณสุขกลับป่วยแซงหน้าชาวบ้านอีก"
ยิ่งคิด ก็ยิ่งงง เขาว่า ไม่เพียงเท่านั้น ตัวหมอเองที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือดและปวดข้อ ใช้ยาที่ดีที่สุดของโรงยาบาลรักษาแล้วแต่ก็ไม่หายความสงสัยนี้ทำให้หันกลับมาศึกษาแพทย์ ทางเลือกและนำมาใช้ร่วมกับแผนปัจจุบันผลปรากฏว่าคนไข้หายเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว แต่นับแล้วก็ยังได้แค่ 40 เปอร์เซ็นต์ของคนไข้ทั้งหมด ซึ่งทำให้หมอเขียวยังคาใจต่ออีกว่า ทำไมอีก 60 เปอร์เซ็นต์ รักษาไม่ได้ คนที่รักษาได้ก็กลับมาเป็นใหม่ หรือการแพทย์ที่ทำอยู่จะมาผิดทาง หมอเขียวเครียดกับเรื่องนี้มากจนต้องไปปฏิบัติธรรม แต่พอได้อ่านพระไตรปิฎกก็พบว่า คำตอบทั้งหมดอยู่ในนี้แล้ว
หนึ่งในคำสอนที่นำมาพิจารณา คือ เรื่องสังคีติสูตร หมอเขียวคิดไปถึงเรื่องสมดุลของร่างกาย เรื่องปรับร้อน-ปรับเย็น ซึ่งมีในศาสตร์แพทย์แผนไทยอยู่แล้ว เพียงแต่ยังใช้ไม่ได้ผลดี เพราะมัวแต่ปฏิบัติตามตำราซึ่งเขียนในสมัยโบราณ ในขณะที่โลกปัจจุบันร้อนขึ้น การปรับร้อน-เย็นจึงต้องเปลี่ยนตามโลก เพื่อให้เกิดสมดุลที่แท้จริง
หมอเขียวลองรักษาโดยวิเคราะห์ ธาตุร้อน - เย็น ด้วยตนเอง ให้ยาฤทธิ์เย็นมากขึ้นตามโลกที่ร้อนขึ้น เริ่มจากรักษาแม่ที่ปวดมดลูกให้หายได้ ทั้งที่แพทย์ปัจจุบันหาสาเหตุไม่พบ จากนั้นก็ใช้แนวทางดังกล่าวไปรักษาโรคมะเร็ง โรคไต โรคความดัน และบันทึกการรักษาทุกครั้ง ผลปรากฏว่าคนไข้ร้อยละ 90 อาการทุเลา รู้สึกสบายขึ้น เมื่อค้นพบว่าการรักษาที่ได้ผลจริงนั้น พระพุทธเจ้าได้สอนไว้หมดแล้ว หมอจึงประมวลความรู้ทั้งหมด และเรียกชื่อว่า "การแพทย์วิถีพุทธ"
ใจความของการแพทย์แผนนี้ คือ ใช้คำสอนของพระพุทธเจ่าเป็นแก่นแกน นำจุดดีของการแพทย์ต่าง ๆ มารวมกัน โดยมีธรรมะเป็นตัวเชื่อมประสานบูรณาการ โดยมีหลักการ 3 ข้อ คือ ใช้สิ่งที่ประหยัดและเรียบง่าย มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหา เพราะแก้ที่ต้นเหตุ และแต่ละคนทำเองได้ ไม่ต้องให้หมอรักษา แต่รักษาตัวเอง
ยา 9 เม็ดที่หมอเขียวใช้รักษาก็ไม่มีราคาค่างวด เพราะเป็นหลักปฏิบัติ 9 ประการที่ทำได้เอง ได้แก่ รับประทานสมุนไพรปรับสมดุล แช่มือเท้าในน้ำสมุนไพร รับประทานอาหารปรับสมดุล ใช้ธรรมะคลายเครียด ออกกำลังกายกดจุดลมปราณรู้จักเพียรและพักให้พอดี ทำกัวซา ดีทอกซ์ และพอก ทา หยอด ประคบ อบ อาบ ด้วยสมุนไพรที่ถูกกัน เมื่อไม่ต้องเสียค่ายาแพง ๆ หรือเสียค่าหมอ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของคำว่า "ศูนย์บาท รักษาทุกโรค"
นอกจากเหนือจากมิติทางสุขภาพ หมอเขียวยังให้ความสำคัญกับวิถีชีวิตแบบพุทธอย่างครบวงจร ดังที่ได้สละพื้นที่กว่า 40 ไร่ เพื่อตั้ง "สวนป่านาบุญ" ซึ่งเป็นศูนย์เศรษฐกิจพอเพียง ใช้ปลูกข้าว ผัก พืชสมุนไพร เพื่อเตรียมความพร้อมในการพึ่งพาตนเองก่อนที่ต่อมาจะเปิดเป็นศูนย์สุขภาพให้ผู้คนเข้ามาเก็บเกี่ยวความรู้เรื่องการใช้ชีวิตตามแนววิถีพุทธอีกด้วย
ความตั้งใจทั้งหมดของหมอเขียว ไม่เพียงทำให้หลาย ๆ คนได้เห็นว่า ชีวิตที่ดี ไม่มีโรคภัย ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมากๆ ไปแลกหาจากการแพทย์สมัยใหม่ หากแต่ยังมีนัยไปถึงวิถีพุทธ วิถีไทย ในแบบที่เราเป็นนั่นเอง ที่เพียงพอแล้วสำหรับความสุข
เว็บไซต์หมอเขียว http://morkeaw.net/
วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
เข็มทิศชีวิต พบ แกะดำทำธุรกิจ
ธุรกิจ อารากอนเวิลด์54
ช่องทางสู่อิสระภาพทางการเงินและเวลา
ที่ทันสมัยที่สุด!!! ในเวลานี้...
วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
เพลง Just Fine - นท The Star7
รอบมินิคอนเสิร์ต 15 นาที (เนื้อเพลงด้านล่าง)
ทำนอง/คำนอง/เรียบเรียง : นท พนายางกูล (นท)
ทำนอง/คำนอง/เรียบเรียง : นท พนายางกูล (นท)
Different language, Different country
(แปลกภาษา แปลกถิ่น)
Different place, Different family
(แปลกที่ แปลกบ้าน)
Different school, Different friend
(โรงเรียนใหม่ เพื่อนใหม่)
Different footstep Different trend
(ทางเดินใหม่ แนวใหม่)
Different street, Different name
(แปลกถนน แปลกชื่อ)
Different place, different game
(แปลกหน้า แปลกกลุ่ม)
Different song Different seeing
(เพลงใหม่ มุมมองใหม่)
New adventure New beginning
(การผจญภัยใหม่ การเริ่มต้นใหม่)
Oh, honey don't you worry you will be just fine
(อย่ากลุ้มใจไปเลย เดี๋ยวเธอก็ดีขึ้นเอง)
We're walking on this road together
(เราจะก้าวไปด้วยกันบนเส้นทางนี้)
I understand what's on your mind
(ฉันรู้ดีว่าเธอคิดยังไง )
This blues won't last forever
(ความเหงาจะต้องเศร้าจางไป)
Tomorrow we'll laughing together
(พรุ่งนี้เราจะได้หัวเราะด้วยกัน)
and everything will be just fine.. just fine... just fine... just fine ...
(และทุกอย่างก็จะดีขึ้น ดีขึ้น)
Oh, honey don't you worry you will be just fine
(อย่ากลุ้มใจไปเลย เดี๋ยวเธอก็ดีขึ้นเอง)
We're walking on this road together
(เราจะก้าวไปด้วยกันบนเส้นทางนี้)
I understand what's on your mind
(ฉันรู้ดีว่าเธอคิดยังไง )
... Just fine ...
(แปลกภาษา แปลกถิ่น)
Different place, Different family
(แปลกที่ แปลกบ้าน)
Different school, Different friend
(โรงเรียนใหม่ เพื่อนใหม่)
Different footstep Different trend
(ทางเดินใหม่ แนวใหม่)
Different street, Different name
(แปลกถนน แปลกชื่อ)
Different place, different game
(แปลกหน้า แปลกกลุ่ม)
Different song Different seeing
(เพลงใหม่ มุมมองใหม่)
New adventure New beginning
(การผจญภัยใหม่ การเริ่มต้นใหม่)
Oh, honey don't you worry you will be just fine
(อย่ากลุ้มใจไปเลย เดี๋ยวเธอก็ดีขึ้นเอง)
We're walking on this road together
(เราจะก้าวไปด้วยกันบนเส้นทางนี้)
I understand what's on your mind
(ฉันรู้ดีว่าเธอคิดยังไง )
This blues won't last forever
(ความเหงาจะต้องเศร้าจางไป)
Tomorrow we'll laughing together
(พรุ่งนี้เราจะได้หัวเราะด้วยกัน)
and everything will be just fine.. just fine... just fine... just fine ...
(และทุกอย่างก็จะดีขึ้น ดีขึ้น)
Oh, honey don't you worry you will be just fine
(อย่ากลุ้มใจไปเลย เดี๋ยวเธอก็ดีขึ้นเอง)
We're walking on this road together
(เราจะก้าวไปด้วยกันบนเส้นทางนี้)
I understand what's on your mind
(ฉันรู้ดีว่าเธอคิดยังไง )
... Just fine ...
วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
“ถอยไปข้างหน้า” การต่อสู้ตลอด 40 ปีของ “สตาร์บัคส์”
“ถอยไปข้างหน้า” การต่อสู้ตลอด 40 ปีของ “สตาร์บัคส์”
ปกติคนเรานั้นจะต้องมีบ้างที่ล้มเหลว หรือไม่ประสบผลสำเร็จในการทำอะไรสักอย่างในชีวิตของเรา บางคนอาจจะสำเร็จมากหน่อย บางคนอาจจะสำเร็จน้อยหน่อย แต่ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนจะไม่มีโอกาสประสบความสำเร็จ คนที่ประสบความสำเร็จมากกว่าคนอื่นนั้น เวลาเขาล้มแล้วเขาจะลุกต่อไปข้างหน้า ไม่ใช่ล้มแล้วถอยไปข้างหลัง เช่นเดียวกับ “ร้านกาแฟสตาร์บัคส์” “อะไรทำให้คนนับล้านทั่วโลกต้องเดินเข้าร้านสตาร์บัคส์ทุกวัน การถอยเพื่อก้าวไปสู่ชัยชนะอย่างแท้จริงของสตาร์บัคส์ การใช้ภาวะผู้นำ การบริหารองค์กรในภาวะวิกฤต จนสามารถเชื่อมแบรนด์เข้ากับวิถีชีวิตคนทั่วโลกได้” ร้านกาแฟหรูที่มีผู้คนเดินเข้าออกเป็นประจำ เมื่อมองผ่านกระจกใสเข้าไปในร้าน จะเห็นผู้คนหลายชีวิตนั่งสนทนากันอย่างออกรส หลายคนทำงานบนแล็ปท็อปของตน หลายคนเจรจาธุรกิจกันอย่างเคร่งเครียด บาริสต้ากำลังชงกาแฟอย่างละเมียดละไม กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นและเสียงเพลงเบาๆ คือความรื่นรมย์ของผู้ที่อยู่ในร้าน สิ่งเหล่านี้คือมนตร์เสน่ห์ของสตาร์บัคส์ | ||||
ท่ามกลางการขยายสาขาอย่างไม่หยุดยั้ง สตาร์บัคส์กลับเผชิญกับวิกฤตอย่างแท้จริง รสชาติ คุณค่า และประสบการณ์กาแฟของสตาร์บัคส์ ได้หล่นหายไประหว่างการเดินทาง ร้านกาแฟยอดนิยมแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่แห่งที่สาม รองจากบ้านและออฟฟิศ ที่ผู้คนจำนวนมากจะแวะเวียนมาอีกต่อไป ยอดขายตกลงอย่างมาก ราคาหุ้นดิ่งลงเป็นประวัติการณ์ นั่นทำให้ “โฮวาร์ด ชูลท์ส” กลับมาดำรงตำแหน่งซีอีโออีกครั้ง และสิ่งแรกที่เขาทำคือ การปิดร้านสตาร์บัคส์ทั่วสหรัฐฯ เพื่ออบรมการชงเอสเพรสโซรสเลิศแก่เหล่าบาริสต้าอีกครั้ง นับเป็นความกล้าหาญอย่างยิ่ง มันคือการถอยไปข้างหน้าเพื่อกลับไปหาตัวตนที่แท้จริง ภายในเวลาสองปีเท่านั้น สตาร์บัคส์ก็กลับมาผงาดอีกครั้ง ดังนั้น หนังสือ “ถอยไปข้างหน้า ONWARD” ผลการเขียน โฮวาร์ด ชูลท์ส แปลโดย โตมร สุขปรีชา คือ หนังสือบอกเล่าประวัติศาสตร์ของสตาร์บัคส์อย่างครบครัน เป็นเรื่องจริงที่ไม่มีใครเคยรับรู้มาก่อน ทั้งความคิด การตัดสินใจ ความหวาดหวั่น และความผิดพลาดทั้งหลาย ความลับเบื้องหลังประตูที่ปิดสนิทในห้องทำงานของซีอีโอสตาร์บัคส์ | ||||
พิเศษ ! เมื่อซื้อหนังสือวันนี้ รับฟรีที่คั่นหนังสือในเล่ม โดยสามารถนำไปซื้อเครื่องดื่มสตาร์บัคส์เอสเพรสโซ 1 แก้วในราคาปกติ รับฟรี 1 แก้วทันที ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ส.ค. 54 ธุรกิจ อารากอนเวิลด์54 ช่องทางสู่อิสระภาพทางการเงินและเวลา ที่ทันสมัยที่สุด!!! ในเวลานี้... |
นิทานเซน:ใช้ชีวิตเหมือนต้นไม้
นิทานเซน:ใช้ชีวิตเหมือนต้นไม้
ต้นไม้งอกขึ้นมาจากดินเมื่อมีเหตุปัจจัยครบ...ไม่ได้หมายความว่าอยากเกิด
เมื่อเกิดมาแล้วก็ทำตัวสอดคล้องกับสถานที่อาศัย...บริโภคน้ำและแร่ธาตุ..แตกกิ่งก้าน ออกดอกออกผล
ให้ดอกไม้บาน...มีแมลงมาผสมเกสร... ให้แมลงมีความสุขกับเกษรน้ำหวาน... ดอกไม้ก็ได้สมประโยชน์... เติบโตให้เมล็ดหรือให้ผล
เมื่อได้เป็นเมล็ด เป็นผล...ก็เป็นอาหารให้สิ่งมีชีวิตอื่น... คน/สัตว์ มากัดกิน แล้วก็ผ่องถ่ายเมล็ดไปตกยังที่สมควร... แพร่พันธุ์กันไป
เชื่อว่าชีวิตเกิดมาไม่ได้มีพันธะต้องไปทำประโยชน์ให้กับใคร เพียงหาให้พบว่าจะอยู่ให้สอดคล้องกับชาวบ้านยังไง ... ได้สมประโยชน์กัน.... ไม่สร้างความเดือดร้อนกับใคร
ถึงเวลาชีวิตของต้นไม้ก็กลับสู่ดิน... คนก็เช่นกัน
นิทานเซน : ความสุขอยู่หนใด?
นิทานเซน : ความสุขอยู่หนใด?
พุทธศาสนิกชน 3 ราย สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มเนื่องเพราะปัญหาที่แก้ไม่ตก จึงได้ไปขอคำชี้แนะจากอาจารย์เซนอู๋เต๋อ เมื่อได้พบก็เอ่ยถามอาจารย์เซนว่า "มีหนทางใดที่จะทำให้พวกเรามีความสุขในชีวิต?"
อาจารย์เซนถามกลับไปว่า "พวกท่านแต่ละคนมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?"
คนแรกตอบว่า "ข้ามีชีวิตอยู่เพราะไม่อยากตาย"
คนต่อมาตอบว่า "ข้ามีชีวิตอยู่เพื่อมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ยามแก่เฒ่าแวดล้อมไปด้วยลูกหลาน คงเป็นความสุขยิ่งนัก"
คนสุดท้ายตอบว่า "ข้ามีชีวิตอยู่เพื่อเป็นที่พึ่งให้กับคนในครอบครัว ตอนนี้ทุกคนต้องพึ่งพาข้า ดังนั้นข้าจึงไม่อาจตาย"
เมื่อได้ฟังเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ของทั้งสาม อาจารย์เซนอู่เต๋อได้แต่กล่าวว่า "หากเป็นเช่นนั้นพวกท่านคงไม่อาจมีความสุขตลอดกาล เนื่องเพราะพวกท่านคนหนึ่งมีชีวิตอยู่บนความหวาดกลัวความตาย คนหนึ่งเฝ้ารอให้ถึงยามแก่เฒ่า อีกคนหนึ่งถูกขับเคลื่อนด้วยภาระอันหนักอึ้ง จนต่างก็หลงลืมหลักการและความหมายที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่ เช่นนี้จะมีความสุขได้อย่างไร"
จากนั้นอาจารย์เซนจึงเอ่ยถามเหล่าพุทธศาสนิกชนต่อไปว่า "ในความเห็นของทุกท่าน 'ความสุข' คืออะไร?"
คนแรกตอบว่า "ย่อมเป็นทรัพย์สินเงินทองบันดาลความสุข"
คนต่อมาตอบว่า "ความรักจึงนำมาซึ่งความสุข"
คนสุดท้ายตอบว่า "ชื่อเสียงเกียรติยศต่างหากคือความสุข"
อาจารย์เซนกลับตอบว่า "นั่นกลับมิใช่ ซ้ำร้ายหากพวกท่านสะสมสิ่งเหล่านี้มากเกินไปกลับยิ่งเพิ่มความทุกข์"
พุทธศาสนิกชนทั้งสามมองหน้ากันด้วยความงุนงง อาจารย์เซนจึงกล่าวต่อไปว่า "หากพวกท่านมีทรัพย์สินเงินทอง ความรัก หรือลาภยศสรรเสริญแล้ว ความกังวลว่าจะเสียมันไป ความโศกเศร้าเมื่อสูญเสียไปแล้ว รวมทั้งความปรารถนาอยากได้อยากมีมากกว่าเดิม จะกลายเป็นบ่วงแร้วคอยพันธนาการพวกท่านเอาไว้ กลายเป็นการเพิ่มพูนความทุกข์ แต่หากพวกท่านต้องการความสุข ก็ต้องปรับเปลี่ยนความคิดดังนี้"
"อันว่าทรัพย์สินเงินทองเมื่อมีมากจงทำบุญทำทานออกไปจึงจะเป็นสุข ความรักนั้นต้องรู้จักการเสียสละและการให้ค่อยมีความสุข ส่วนเกียรติยศชื่อเสียงจงนำมาใช้เพื่ออำนวยประโยชน์สุขให้ส่วนรวม เช่นนี้จึงเป็นความสุขโดยแท้"
อาจารย์เซนถามกลับไปว่า "พวกท่านแต่ละคนมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?"
คนแรกตอบว่า "ข้ามีชีวิตอยู่เพราะไม่อยากตาย"
คนต่อมาตอบว่า "ข้ามีชีวิตอยู่เพื่อมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ยามแก่เฒ่าแวดล้อมไปด้วยลูกหลาน คงเป็นความสุขยิ่งนัก"
คนสุดท้ายตอบว่า "ข้ามีชีวิตอยู่เพื่อเป็นที่พึ่งให้กับคนในครอบครัว ตอนนี้ทุกคนต้องพึ่งพาข้า ดังนั้นข้าจึงไม่อาจตาย"
เมื่อได้ฟังเหตุผลในการมีชีวิตอยู่ของทั้งสาม อาจารย์เซนอู่เต๋อได้แต่กล่าวว่า "หากเป็นเช่นนั้นพวกท่านคงไม่อาจมีความสุขตลอดกาล เนื่องเพราะพวกท่านคนหนึ่งมีชีวิตอยู่บนความหวาดกลัวความตาย คนหนึ่งเฝ้ารอให้ถึงยามแก่เฒ่า อีกคนหนึ่งถูกขับเคลื่อนด้วยภาระอันหนักอึ้ง จนต่างก็หลงลืมหลักการและความหมายที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่ เช่นนี้จะมีความสุขได้อย่างไร"
จากนั้นอาจารย์เซนจึงเอ่ยถามเหล่าพุทธศาสนิกชนต่อไปว่า "ในความเห็นของทุกท่าน 'ความสุข' คืออะไร?"
คนแรกตอบว่า "ย่อมเป็นทรัพย์สินเงินทองบันดาลความสุข"
คนต่อมาตอบว่า "ความรักจึงนำมาซึ่งความสุข"
คนสุดท้ายตอบว่า "ชื่อเสียงเกียรติยศต่างหากคือความสุข"
อาจารย์เซนกลับตอบว่า "นั่นกลับมิใช่ ซ้ำร้ายหากพวกท่านสะสมสิ่งเหล่านี้มากเกินไปกลับยิ่งเพิ่มความทุกข์"
พุทธศาสนิกชนทั้งสามมองหน้ากันด้วยความงุนงง อาจารย์เซนจึงกล่าวต่อไปว่า "หากพวกท่านมีทรัพย์สินเงินทอง ความรัก หรือลาภยศสรรเสริญแล้ว ความกังวลว่าจะเสียมันไป ความโศกเศร้าเมื่อสูญเสียไปแล้ว รวมทั้งความปรารถนาอยากได้อยากมีมากกว่าเดิม จะกลายเป็นบ่วงแร้วคอยพันธนาการพวกท่านเอาไว้ กลายเป็นการเพิ่มพูนความทุกข์ แต่หากพวกท่านต้องการความสุข ก็ต้องปรับเปลี่ยนความคิดดังนี้"
"อันว่าทรัพย์สินเงินทองเมื่อมีมากจงทำบุญทำทานออกไปจึงจะเป็นสุข ความรักนั้นต้องรู้จักการเสียสละและการให้ค่อยมีความสุข ส่วนเกียรติยศชื่อเสียงจงนำมาใช้เพื่ออำนวยประโยชน์สุขให้ส่วนรวม เช่นนี้จึงเป็นความสุขโดยแท้"
นิทานเซน : สรรพสิ่งล้วนเกิดดับ
นิทานเซน : สรรพสิ่งล้วนเกิดดับ
ณ อารามเซนแห่งหนึ่ง ยังมีเณรน้อยที่ฉลาดปราดเปรื่องผู้หนึ่ง พำนักอยู่กับอาจารย์เซน
วันหนึ่งเณรน้อยพลาดพลั้งทำถ้วยชาล้ำค่าที่อาจารย์ของตนรักถนอมยิ่งตกแตกด้วยความไม่ตั้งใจ ในใจเกิดเป็นรสชาติสุดบรรยาย แต่ยังไม่ทันคิดอ่านอันใด พลันได้ยินเสียงฝีเท้าของอาจารย์เดินเข้าห้องมา จึงได้แต่นำเศษถ้วยชาแตกบิ่นแอบไว้ด้านหลังของตน
เมื่ออาจารย์เซนมาถึง เณรน้อยจึงรีบชิงเอ่ยปากถามว่า "ท่านอาจารย์ ทำไมคนเราต้องตายด้วยครับ?"
อาจารย์เซนตอบศิษย์อย่างไม่ทราบเรื่องราวว่า "เป็นเรื่องธรรมชาติ สรรพสิ่งบนโลกนี้ล้วนมีเกิดและมีดับด้วยกันทั้งนั้น"
ยามนั้น เณรน้อยจึงค่อยได้ที ยื่นมือที่ถือถ้วยชาใบโปรดของอาจารย์ ซึ่งบัดนี้กลายเป็นเศษถ้วยแตกบิ่น ออกมาให้อาจารย์ชมดู พลางกล่าวว่า "หากเป็นเช่นนั้น วันนี้ ถ้วยชาของท่านใบนี้ ก็ถึงอายุขัยของมันแล้วครับ!"
อาจารย์เซนเมื่อได้ฟัง ได้แต่เงียบงันไร้คำกล่าว...
เซน มีคำกล่าวที่ว่า
"วสันตฤดูกำเนิดร้อยบุปผา คิมหันต์ปรากฏวายุ
ฤดูสารทจันทร์กระจ่าง เหมันต์หิมะโปรย
หากในใจไร้เรื่องราว ทุกวันล้วนเป็นฤดูที่ดีงาม"
สรรพสิ่งตั้งอยู่บนความไม่เที่ยง มีเกิดย่อมมีดับ ใยต้องยึดมั่นถือมั่นให้มากความ
วันหนึ่งเณรน้อยพลาดพลั้งทำถ้วยชาล้ำค่าที่อาจารย์ของตนรักถนอมยิ่งตกแตกด้วยความไม่ตั้งใจ ในใจเกิดเป็นรสชาติสุดบรรยาย แต่ยังไม่ทันคิดอ่านอันใด พลันได้ยินเสียงฝีเท้าของอาจารย์เดินเข้าห้องมา จึงได้แต่นำเศษถ้วยชาแตกบิ่นแอบไว้ด้านหลังของตน
เมื่ออาจารย์เซนมาถึง เณรน้อยจึงรีบชิงเอ่ยปากถามว่า "ท่านอาจารย์ ทำไมคนเราต้องตายด้วยครับ?"
อาจารย์เซนตอบศิษย์อย่างไม่ทราบเรื่องราวว่า "เป็นเรื่องธรรมชาติ สรรพสิ่งบนโลกนี้ล้วนมีเกิดและมีดับด้วยกันทั้งนั้น"
ยามนั้น เณรน้อยจึงค่อยได้ที ยื่นมือที่ถือถ้วยชาใบโปรดของอาจารย์ ซึ่งบัดนี้กลายเป็นเศษถ้วยแตกบิ่น ออกมาให้อาจารย์ชมดู พลางกล่าวว่า "หากเป็นเช่นนั้น วันนี้ ถ้วยชาของท่านใบนี้ ก็ถึงอายุขัยของมันแล้วครับ!"
อาจารย์เซนเมื่อได้ฟัง ได้แต่เงียบงันไร้คำกล่าว...
เซน มีคำกล่าวที่ว่า
"วสันตฤดูกำเนิดร้อยบุปผา คิมหันต์ปรากฏวายุ
ฤดูสารทจันทร์กระจ่าง เหมันต์หิมะโปรย
หากในใจไร้เรื่องราว ทุกวันล้วนเป็นฤดูที่ดีงาม"
สรรพสิ่งตั้งอยู่บนความไม่เที่ยง มีเกิดย่อมมีดับ ใยต้องยึดมั่นถือมั่นให้มากความ
วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
สมศักดิ์ เหมรัญ กีต้าร์ มือเดียว ผู้ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค Thailand’s got talent รอบ2
สมศักดิ์ เหมรัญ (TGT 21)
กีต้าร์ มือเดียว ผู้ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค วันนี้เขากลับมาเรียกน้ำตาให้กับคุณผู้ชมได้อีกครั้งในบทเพลงกำลังใจ ของวงโฮป และเพลงขอมอบดอกไม้ในสวน ของ แจ้ ดนุพล ทั้งเสียงดนตรีที่ไพเราะ บวกกับน้ำเสียงซึ้ง ๆ ของสมศักดิ์ เหมรัญ ทำให้โชว์นี้ซึ้งกินใจคุณผู้ชมจริง ๆ
เป็นกำลังใจให้โดย
วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
รวมพลสุดยอดคนรักสุดยอดเดอะซีเคร็ต ตอนที่1 กฏแห่งมโนนิยม
อานุภาพแห่งจิต หรือ จิตตานุภาพ..
ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ
ธุรกิจ อารากอนเวิลด์54
ช่องทางสู่อิสระภาพทางการเงินและเวลา
ที่ทันสมัยที่สุด!!! ในเวลานี้...
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)